ทำอย่างไงให้ผิวขาว กระจ่าง สว่างใส



ทำอย่างไงให้ผิวขาว กระจ่าง สว่างใส
ไม่ยากเลย ปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบต่อผิว เราก็แค่หลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ยับยั้งการทำงานในแต่ละจุด ปัจจัยสำคัญๆ มีอยู่ด้วยกัน 5 จุด ที่จะช่วยลดการผลิดเม็ดสีเมลานินได้
1. ลดการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก(แสง UV)
Sunscreen การปกป้องผิวจากรังสี UV จะช่วยลดการเกิด DNA Damage ลดการอักเสบและระคายเคืองของผิว ผลทางอ้อมก็คือลดการส่งสัญญาณไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีนั่นเอง ดังนั้นการปกป้องผิวเป็นประจำทุกวันด้วยครีมกันแดด หรือ โลชั่นกันแดด ที่มีค่า SPF 30 และค่า PA+++ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ทุกคนควรทำนะจ๊ะ
2. ลดการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ผิว (Keratinocyte) ไปยังเซลล์ผลิตเม็ดสี (Melanocyte)
ใช้สารไวท์เทนนิ่งที่ทำงานโดยการขัดขวางการส่งสัญญาณของเปปไทด์
2.1 ลดการอักเสบและระคายเคืองที่เกิดขึ้นจากรังสี UV (Inhibition of UV inflammation)
เมื่อการอักเสบและระคายเคืองในเซลล์ลดลง เซลล์เคราตินก็จะลดการผลิตและส่งสัญญาณที่ไปกระตุ้นการสร้างเมลานินให้น้อยลงไปด้วย
2.2 สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
สารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะตัวที่มีการวิจัยแล้วว่าช่วยลดผลกระทบจากรังสี UVA หรือ UVB หรือช่วยเพิ่มปริมาณเอนไซม์แอนติออกซิแดน์ในเซลล์ผิวได้ ก็อาจจะส่งผลต่อการลดการผลิตเม็ดสีได้ทางอ้อม ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้บ่อยก็ได้แก่พวกวิตามินซี สารสกัดจากชาเขียว และสารสกัดอื่น ๆ
3. ขัดขวางกระบวนการ Melanogenesis / ขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase
- Hydroquinone (1,4-dihydroxybenzene) เป็นสารไวท์เท นนิ่งที่เป็น Gold Standard มากว่า 40 ปี (หากมีสารไวท์เทนนิ่งตัวอื่นที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่ก็จะต้องนำมาเปรียบเทียบ กับเจ้าไฮโดรควินโนนนี่แหล่ะ) ซึ่งในประเทศไทยนั้น Hydroquinone เป็นสารขึ้นทะเบียนยา ไม่สามารถผสมในเครื่องสำอางได้จริง ๆ แล้ว Hydroquinone เรียกได้ว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเป็นไวท์เทนนิ่งเลยก็ว่าได้ เพราะการทำงานของมันนั้นกว้างมาก ตั้งแต่กระตุ้นการสร้าง ROS ขึ้นมาเพื่อทำลายเยื่อหุ้มและโปรตีนของเอนไซม์ Tyrosinase ลดการสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์เมลาโนไซด์ แต่สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นจุดด้อยของไฮโดรควินโนน เพราะถือว่ามันเป็นพิษกับเซลล์เมลาโนไซต์มาก (Melanocyte Cytotoxicity) และมีโอกาสที่จะทำให้เซลล์ที่ผลิตเม็ดสีเสียหายไปอย่างถาวรซึ่งเป็นสาเหตุ ของการเกิดโรคด่างขาวได้ นอกจากนี้ Hydroquinone ยังก่อให้เกิดการระคายเคืองได้หากใช้อย่างไม่ระวัง ใครที่จะใช้ Hydroquinone ก็ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และเหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะก่อการระคายเคืองของผิวด้วยจ้า
- Arbutin / Deoxyarbutin เป็น สารกลุ่มที่เป็นอนุพันธ์ของ Hydroquinone โดย Arbutin ถูกพัฒนาขึ้นและจดสิทธิบัตรโดย Shiseido เมื่อปี 1989 ซึ่งมีคุณสมบัติที่คล้ายกับ Hydroquinone แต่ว่ามีความปลอดภัยกว่า (คือเกิด Melanocyte Cytotoxicity น้อยกว่า และไม่ส่งผลกระทับกับ mRNA) แน่นอนว่าประสิทธิภาพก็น้อยกว่า Hydroquinone ด้วยเหมือนกัน ตัวนี้ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงในระยะยาว ไม่มีผลที่เป็นพิษต่อ Melanocytes มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase และยังช่วยยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีที่สมบูรณ์จากกระบวนการสร้างเม็ดสีไม่ให้ถูกส่งผ่านขึ้นไปยังชั้น Epidermis อาร์บูตินสกัดได้จาก Arctostaphylas Uva UrsiLeaf (Bearberry)
ตัว Arbutin แบ่งบ่อยออกเป็นอีกสองตัวคือ Alpha Arbutin (INCI = Alpha Arbutin) และ Beta Arbutin (INCI = Arbutin) โดย Alpha Arbutin มีประสิทธิภาพมากกว่า (ใช้ในความเข้มข้น 0.2 – 2%) สามารถทนกับสูตรผสมที่เป็นกรดได้ตั้งแต่ pH 3.5 – 6.5 ส่วน Beta Arbutin มีประสิทิภาพน้อยกว่า (ต้องใช้ในความเข้มข้นที่ 1 – 5%) ไม่ค่อยทนกรด จะต้องอยู่ในสูตรเครื่องสำอางที่มากกว่า pH 6.5 ขึ้นไป
การที่ Beta Arbutin สัมผัสกับกรดเป็นเวลานาน มันจะเกิดการ Hydrolysis ไปเป็น ไฮโดรควินโนนได้ แต่กระบวนการนี้ใช้เวลาพอดู (ไม่ใช่เจอกันปุ๊ปแล้วไปหมดทันที) ข้อควรระวังนี้จึงใช้กับผู้ที่จะทำการผสมสูตรเครื่องสำอางครับ ว่าไม่ควรผสม Beta-Arbutin มาคู่กับอะไรที่เป็นกรด สำหรับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ นั้นไม่ต้องกังวลตรงนี้จ้า สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Beta Arbutin คู่กับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA/BHA หรือแม้แต่วิตามินซีที่เป็นกรดได้ ไม่ต้องกังวลอะไร
ตัวใหม่มาแรงก็คือ Deoxyarbutin (INCI – Tetrahydropyranyloxy Phenol) ที่ ว่ากันว่าดีกว่า Beta Arbutin* (INCI : Arbutin)อยู่หลายอย่าง ที่แน่ ๆ คือมีความปลอดภัยมากกว่าเพราะทำปฏิกิริยา Melanocyte Cytotoxicity น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ Beta Arbutin* (INCI : Arbutin) และ Hydroquinone นอกจากนี้ยังกดโปรตีนของเอนไซม์ Tyrosinase ด้วย (ในขณะที่ Arbutin และ Hydroquinone ไม่มีผลตรงนี้) *ยังไม่มีการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบ Deoxyarbutin กับ Alpha Arbutin จ้า
- Vitamin C / Vitamin C Derivatives เป็นวิตามินที่ได้รับการศึกษามากที่สุดตัวหนึ่ง รูปแบบมาตรฐานคือ L-Ascorbic Acid (AA) ที่ ละลายในน้ำ มีความไม่คงตัวสูง เสื่อมได้ง่าย ต้องใช้ความเป็นกรด ในการทำงาน (pH ต่ำว่า 3.5) และควรมีความเข้มข้นตั้งแต่ 5% ขึ้นไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้จะมีประโยชน์กับผิวอยู่หลายด้าน แต่ก็มีความยุ่งยากในการนำมาใช้งานเราจึงไม่ค่อยเห็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น L-Ascorbic Acid เข้มข้นออกมาสู่ท้องตลาดนัก ข้อจำกัดนี้ทำให้มีการพัฒนา “อนุพันธ์ของวิตามินซี” ขึ้นมา
Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) ถูก จดสิทธิบัตรในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1988 โดยการเกี่ยวพันธะของวิตามินซีเข้ากับแมกนีเซียมทำให้มีความคงตัวมากขึ้น การวิจัยถูกทำขึ้นโดยใช้ความเข้มข้นสูงถึง 10% และแสดงให้เห็นว่าช่วยลดจุดด่างดำได้
Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ถูก พัฒนาตามหลังและจดสิทธิบัตรโดย Shiseido ในปี 1994 โดยมีข้อได้เปรียบกว่า MAP ตรงที่ Sodium สามารถทำละลายได้ง่ายกว่า Magnesium จึงใช้ในสูตรเครื่องสำอางได้ง่ายกว่า(และ SAP มีความเสถียรกว่า MAP)
Ascorbyl Glucoside (AA2G) ถูก จดสิทธิบัตรในญี่ปุ่นเมื่อปี 1994 ซึ่งเป็นการเกี่ยววิตามินซีเข้ากับกลูโคส (น้ำตาล) ซึ่งการทดสอบพบว่า Ascorbyl Glucoside ทำงานได้นานกว่าวิตามินซีรูปแบบ SAP และใช้ในความเข้มข้นที่น้อยกว่า (สูงสุดที่ผู้ผลิตแนะนำคือ 2%) แต่จุดบอดคือการวิจัยในเรื่องของการเป็นไวท์เทนนิ่งนั้นใช้ Ascorbyl Glucoside คู่กับ Niacinamide (แถมใช้เครื่องความถี่วิทยุในการผลักเข้าผิวด้วย) ดังนั้นคุณสมบัติของ Ascorbyl Glucoside ยังมีข้อกังขาอยู่บ้าง
3-O-Ethyl Ascorbic Acid ถูก พัฒนาขึ้นและจดสิทธิบัตรโดย Shiseido เมื่อปี 2005 (แน่นอนว่าตอนนี้สิทธิบัตรหมดอายุแล้ว บริษัทอื่น ๆ สามารถนำมาใช้ได้ตามสบาย) ความคิดพื้นฐานในการพัฒนาวิตามินซีรูปแบบนี้ขึ้นมาเกิดจากปัญหาที่มี อนุพันธ์วิตามินซีรุ่นก่อนที่จะเอาวิตามินซีเข้าไปเกี่ยวกับโมเลกุลอื่น ๆ ซึ่งต้องใช้กระบวนการทางเอนไซม์บนผิวในการแตกพันธะออกมาก่อนที่ผิวจะสามารถ นำวิตามินซีไปใช้ได้ ซึ่งเอนไซม์บนผิวของแต่ละคนมีไม่เท่ากันทำให้ปริมาณวิตามินซีที่จะเข้าไปใน ผิวจริง ๆ นั้นมีความไม่แน่นอน
วิตามินซี 3-O-Ethyl Ascorbic Acid ไมได้เกี่ยวพันธะกับอะไร แต่เป็นการเพิ่ม Ehtyl เข้าไปในคาร์บอนที่สามของโมเลกุลวิตามินซี ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการ Oxidation ของวิตามินซีได้ ปัจจุบันว่ากันว่าวิตามินซีรูปแบบนี้มีความคงทนที่สุด และเป็นรูปแบบที่ผิวสามารถนำไปใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแตกตัว ด้วยเอนไซม์บนผิว สิ่งที่โดดเด่นคือ 3-O-Ethyl Ascorbic Acid นั้นละลายได้ทั้งใน “น้ำ” และ “น้ำมัน” ทำให้การผสมในสูตรของเครื่องสำอางสามารถทำได้ง่าย และสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องใช้ในความเข้มข้นที่เยอะจึงลดโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองลง
- Kojic Acid เป็น สารที่ได้จากกระบวนการหมักบ่มเชื้อรา/เห็ดในตระกูล (Acetobacter, Aspergillus และ Penicillium) การทำงานโดยไปจับกับอะตอมของทองแดงที่มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase โดยถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1988 ในญี่ปุ่นและเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่มีข่าวคึกโครมในช่วงปี 2003 ว่า Kojic Acid อาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ ทำให้ทางการของญี่ปุ่นทำการแบนสารตัวนี้ชั่วคราวเพื่อทำการทดสอบและได้ข้อ สรุปในปี 2005 ว่า Kojic Acid มีความปลอดภัย ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง ทำให้ Kojic Acid ยังถูกใช้กันจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ดี Kojic Acid มีปัญหาเรื่องความเสถียรในสูตรของเครื่องสำอาง และอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทั้งยังมีความระคายเคืองมากกว่าอาร์บูติน ออกฤทธิ์ปรับผิวขาวโดยเป็น Chelating Agent เข้าจับกับ Copper ซึ่งเป็นโคเอนไซม์ของ Tyrosinase ในกระบวนการสร้างเม็ดสี เมื่อโคเอนไซม์ลดน้อยลงเอนไซม์ไทโรซิเนสจึงทำงานได้ยากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้ง Polymerization ของ DHI และ DHICA ในกระบวนการท้ายๆของการสร้างเม็ดสี สกัดได้จาก fungal metabolite ละลายได้ดีในน้ำแต่ไม่ค่อยเสถียรมากนักจึงมีการพัฒนาเป็น Kojic Dipalmitate ซึ่งมีประสิทธิภาพ+เสถียร+ละลายในน้ำมันได้มากกว่า Kojic Acidเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน (Contact Dermatitis) จึงมีการพัฒนาเป็น Kojic Acid Tripeptide ซึ่งได้ผลในการขัดขวาสงการทำงานของ Tyrosinase มากกว่า Kojic Acid ถึง 90% แต่ยังไม่เห็นเจ้าไหนเอาสารตัวนี้ออกมาใช้กันเพราะการวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ เมื่อปี 2009 นี่เอง เราอาจจะได้เห็นไวท์เทนนิ่งตัวใหม่ที่ใช้สารตัวนี้หลังจากปีนี้ไปก็ได้
- Ellagic Acid เป็น สารกลุ่ม Polyphenol ที่มีอยู่ในพืชตามธรรมชาติ (สตรอว์เบอรี่ ชาเชียว ทับทิม และอื่น ๆ อีกมากมาย) หลักการในการทำงานนั้นคล้ายกับ Kojic Acid นั่นแล และใช้ในความเข้มข้น 0.5 – 1% ก็ให้ผลในการลดจุดด่างดำที่ดีแล้ว นี่เป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ในเครือ Loreal มายาวนาน
- Glycyrrhiza Glabra (licorice) หรือ สารสกัดจาก “ชะเอม” นั้นมีสารออกฤทธิ์หลักคือ Glabridin ซึ่งมีคุณสมบัติในการขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase นอกจากนี้สารสกัดจากชะเอมยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ (Anti-Inflammatory) ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงช่วยลดผลกระทบจากรังสี UVB ที่จะไปกระตุ้นการผลิเม็ดสี รวมถึงลดรอยแดงได้ด้วย
- Aleosin เป็น หนึ่งในสารสำคัญที่ได้มาจากว่านหางจรเข้ มีคุณสมบัติในการขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinanse และยังทำงานสอดประสานกันกับ Arbutin เพื่อให้ผลในการลดการผลิตเม็ดสีได้ดียิ่งขึ้น
- Potassium Methoxysalicylate / Potassium 4-methoxy salicylicate (4MSK) ถูก จดสิทธิบัตรโดย Shiseido เมื่อปี 2003 โดยแบรนด์ที่นำมาใช้เป็นแบรนด์แรกน่าจะเป็น IPSA และเริ่มนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ชั้นสูงในเครืออย่าง Shiseido และ Cle de Peau Beaute เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลักในการทำงานคือการขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase แบบ competitive inhibition ซึ่งคล้ายกับ Arbutin
- Linoleic Acid นอก จากจะเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดี ช่วยลดการอักเสบ เสริมสร้างความแข็งแรงของ Skin Barrier แล้ว ยังมีคุณสมบัติในการเร่งการเสื่อมสลายของเอนไซม์ Tyrosinase จึงส่งผลให้การผลิตเม็ดสีโดยรวมลดลง ทดสอบโดยใช้ linoleic Acid 0.1% บรรจุในไลโปโซมเป็นระบบนำพาสาร
- Tetrahydromagnolol (5,5′-Dipropyl-Biphenyl-2,2′-Diol) หรือ ในชื่อทางการค้าว่า Magnolignane ซึ่งเป็นสารไวท์เทนนิ่งที่ทาง Kanebo ได้จดสิทธิบัตรเอาไว้เมื่อปี 2005 โดยมีงานวิจัยที่ทาง Kanebo ตีพิมพ์เอาไว้ 2 ฉบับบอกว่า สารสกัดตัวนี้ในความเข้มข้น 0.5% สามารถช่วยลดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นจากรังสี UVB ได้ โดยหลักการทำงานคือเข้าไปขัดขวางกระบวนการ Maturation ของเอนไซม์ Tyrosinase จึงส่งผลให้การผลิตเมลานินลดลงนั่นเอง
- Rhododendrol (4-(4-Hydroxyphenyl)-2-butanol) หรือ ชื่อทางการค้าคือ Rhododenol ซึ่งเป็นสารไวท์เทนนิ่งที่จดสิทธิบัตรโดย Kanebo เมื่อปี 2007 ซี่งเป็นสารไวท์เทนนิ่งตัวล่าสุดของทางบริษัทนั่นเอง หลักการทำงานของมันคือการ competitive inhibition สารตัวนี้จะไปจับกับ เอนไซม์ Tyrosinase เพื่อขัดขวางไม่ให้สารตัวอื่นเข้ามากระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinaseได้ ผลจึงทำให้การผลิตเม็ดสีถูกขัดขวาง (ซึ่งเป็นการทำงานคนละรูปแบบกับ Magnolignane)
4. ขัดขวางการส่งถุง Melanosome ไปยังเซลล์ผิว / ขัดขวางการเจริญเติบโตของถุง Melanosome
- Glycine Soja (Soy)t ถั่วเหลือมีสารจำพวก Isoflavones และมีคุณสมบัติเป็น Serine Protease Inhibitors ที่เข้าไปลดการทำงานของ Protease Activated Receptor–2 Pathway (PAR-2) ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการดูดกลืนถุงเม็ดสีของเซลล์ผิว (keratinocyte phagocytosis of melanosomes) นอกจากนี้ยังขัดขวางการลำเลียงถุง Melanosome ไปยังเซลล์ผิวอีกด้วย นอกจากนี้สารประกอบของถั่วเหลือยังมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์และลดการอักเสบได้ในตัว ให้มองหาส่วนผสมที่ระยุว่า Glycine Soja (Soybean) Seed Extract, Soy Isoflavones, Genistein, Daidzein หรืออะไรทำนองนี้จ้า
- Vitamin B3 (Niacinamide) หนึ่งในวิตามินสารพัดประโยชน์ที่มีคุณสมบัติที่ดีกับผิวหลายด้าน และในแง่ของการเป็นไวท์เทนนิ่งนั้น Niacinamide ทำหน้าที่ในการลดส่งถุง melanosome ไปยังเซลล์ผิว มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและเสริมประสิทธิภาพของสารไวท์เทนนิ่งอื่น ๆ ด้วย สารในกลุ่ม Niacin อื่น ๆ ควรจะมีคุณสมบัติเดียวกันตามทฤษฏี
- Pisum Sativum (Pea) Extract สารสกัดจากถั่วลันเตา มีกลไกในการทำงานที่ลึกลงไปในระดับยีนส์ โดยไปลดการแสดงออกของยีนส์ PMEL17 ที่มีผลต่อการพัฒณาของถุง Melanosome ซึ่งเป็นการลดการผลิตเม็ดสีตั้งแต่แรก และยังทำงานในการลดการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ด้วย
5. เร่งการผลัดเซลล์ผิว
- Alpha Hydroxy Acid (AHA) / Poly Hydroxy Acid (PHA) / Beta Hydroxy Acid (BHA) / Lipo Hydroxy Acid (LHA)สารกลุ่มผลัดเซลลืผิวนี้จะไปเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์เคราตินที่เสื่อมสภาพและหมองคล้ำไปด้วยเมลานินให้หลุดออกไป การผลัดเซลล์ไม่ได้มีผลกับการผลิตเม็ดสีโดยตรง แต่ให้ผลทางอ้อมในการเป็นไวท์เทนนิ่ง
- Vitamin A / Retinoid สารกลุ่มวิตามินเอที่ใช้เครื่องสำอางส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ Retinyl Palmitate , Retinyl Linoleate และ Retinol ซึ่งจะสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็น Tretinoin เพื่อกระตุ้นกับ Retinoid Receptor ในเซลล์ผิวได้ มีผลในการ Regulate Cell/DNA ให้เซลล์ผิวทำงาน แบ่งตัวและมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเป็นปกติ
สารกลุ่ม Retinoid ยังมีคุณสมบัติที่เข้าไปลด Tyrosinase/TRP-1 Protein Expression เพื่อขัดขวางการผลิตเม็ดสีผิวไปในตัวอีกด้วย แต่ข้อเสียที่พบได้บ่อยคือมีโอกาสระคายเคืองผิว ทำให้เกิดอาการลอก แดง ได้ง่าย ควรใช้อย่างระวังและปรับปริมาณและความถี่ในการใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา
- Placenta Extract หรือสารสกัดจาก “รก” นั่นเอง แต่เดิมจะใช้สารสกัดจากรก “วัว” แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นรก “หมู” หรือ “แกะ” แทนเพราะความหวาดกลัวเรื่องโรควัวบ้า… Placenta Extract นั้นถูกใช้มานานมากและในญี่ปุ่นจัดเป็นสารไวท์เทนนิ่งยุคดึกดำบรรพ์ มีสารประกอบของกรดอะมิโนจำและแร่ธาตุอยู่ในปริมาณเข้มข้นมาก และช่วยในเรื่องของการเร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวชั้นนอกโดยไม่ก่อการระคายเคือง แต่ก็มีข้อมูลที่ระบุว่า Placenta Extract อาจเพิ่มกระบวนการผลิตเม็ดสีเมลานินผ่าน enhancement of tyrosinase gene expression ได้ด้วย
- Octadecenedioic Acid เป็นสารที่มีประโยชน์รอบด้าน ทำได้หลายอย่างมากจนตอนแรกไม่รู้จะจับมันไปลงตรงไหนดี เพราะทั้งมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ (ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิวได้ด้วย จึงคิดว่าผลในการลดการอักเสบนี้มาจากการลดการติดเชื้อมากกว่า) เสริมการเปลี่ยนแปลง/พัฒนาการของเซลล์เคราติน (Keratinocyte Differentiation) จึงช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ และมีคุณสมบัติในการเป็นไวท์เทนนิ่งโดยการลด mRNA และ Protein expression ของเอนไซม์ Tyrosinase ส่งผลให้กระบวนการ Melanogenesis ลดน้อยลง
ข้อเสียอย่างเดียวของ Octadecenedioic Acid คือละลายในน้ำมัน (แถมละลายได้ยากด้วย) ความเข้มข้นที่ผู้ผลิตสารแนะนำคือ 1% (ซึ่งการวิจัยใช้ที่ 2%) ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Octadecenedioic Acid มักมีสารกลุ่มซิลิโคนหรือ Alcohol มาเพื่อปรับเนื้อสัมผัสให้ไม่เหนอะหนะ ส่วนผสมตัวนี้พบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์ Nivea และ Eucerin (เพราะเป็นเครือเดียวกัน)
สารอื่นๆ
Beta Carotene หลายคนคงจะคุ้นเคยกับเบต้าแคโรทีนหรือโปรวิตามินเอในแง่ของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากในผักผลไม้สีแดง-ส้ม แต่รู้หรือไม่คะว่าสารตัวนี้ยังมีฤทธิ์ในการช่วยปรับผิวขาวด้วยค่ะ เพราะสามารถบล็อค Tyrosinase Receptors ที่ melanocytes ได้ เหมือนเป็นการปิดสวิตซ์การทำงานของ Tyrosinase ทำให้กระบวนการสร้างเม็ดสีเกิดต่อไปไม่ได้